รูเบน ลอฟตัส-ชีก
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | รูเบน ไอรา ลอฟตัส-ชีก[1] | ||
วันเกิด | [2] | 23 มกราคม ค.ศ. 1996||
สถานที่เกิด | ลูอิชัม ประเทศอังกฤษ | ||
ส่วนสูง | 6 ft 3 in (1.91 m)[3] | ||
ตำแหน่ง | กองกลาง | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | มิลาน | ||
หมายเลข | 8 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
2004–2014 | เชลซี | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
2014–2023 | เชลซี | 91 | (7) |
2017–2018 | → คริสตัลพาเลซ (ยืมตัว) | 24 | (2) |
2020–2021 | → ฟูลัม (ยืมตัว) | 30 | (1) |
2023– | มิลาน | 0 | (0) |
ทีมชาติ | |||
2011 | อังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี | 2 | (1) |
2012–2013 | อังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี | 8 | (1) |
2013–2015 | อังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี | 13 | (6) |
2015–2017 | อังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี | 17 | (7) |
2017–2018 | อังกฤษ | 10 | (0) |
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2023 (UTC) |
รูเบน ไอรา ลอฟตัส-ชีก (อังกฤษ: Ruben Ira Loftus-Cheek; เกิด 23 มกราคม พ.ศ. 2539) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ปัจจุบันลงเล่นให้กับมิลาน สโมสรในเซเรียอา และทีมชาติอังกฤษ ในตำแหน่งกองกลาง
ลอฟตัส-ชีก เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเชลซี และก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จในอีก 10 ปีต่อมาเมื่อเขาอายุ 18 ปีเท่านั้น และพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2018–19[4] และพรีเมียร์ลีกอีก 2 สมัย[5][6] นอกจากนี้ ลอฟตัส-ชีก ยังลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017[7] และเขายังเป็น 1 ใน 23 ผู้เล่นของทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย[8] ซึ่งเขาพาทีมจบลำดับที่ 4 ของการแข่งขัน[9]
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ลอฟตัส-ชีก เกิดในลูอิชัม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ[10] โดยเขามีเชื้อสายกายอานา[11] และเขามีพี่ชายคนละแม่เป็นอดีตนักฟุตบอลที่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีก นั่นคือ คาร์ล คอร์ต และ ลีออน คอร์ต[12][13] รวมถึงเขายังมีน้องชายที่มีพ่อแม่เดียวกันเป็นนักฟุตบอลกึ่งอาชีพ นั่นคือ โจ ลอฟตัส-ชีก[14]
สโมสรอาชีพ
[แก้]เชลซี
[แก้]ชุดเยาวชน
[แก้]ลอฟตัส-ชีก เข้าร่วมทีมเยาวชนของเชลซี ในปี ค.ศ. 2004 ตอนเขาอายุ 8 ขวบ, ในปี ค.ศ. 2012 เขาได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีในเอฟเอยูธคัพนัดชิงชนะเลิศ กับ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ ในนัดที่สองที่อีวูดพาร์คในฐานะตัวสำรอง ซึ่งทีมของเขาเอาชนะไป 1–0 (รวมผล 2 นัดชนะ 4–1)[15] ในฤดูกาลถัดมาเขาได้ลงเล่นกับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ทั้งสิ้น 18 นัด และได้ลงเล่นต่อเนื่องไปยังรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี อีกทั้งสิ้น 9 นัด, ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2013 เขาได้รับเลือกให้เดินทางไปกับทีมชุดใหญ่เพื่อแข่งขันเกมกระชับมิตรสองนัดกับแมนเชสเตอร์ซิตี ที่สหรัฐอเมริกา โดยที่เขาได้โอกาสลงเล่นทั้งสองนัด[16], ในฤดูกาล 2013–14 ลอฟตัส-ชีก ช่วยพาทีมเป็นแชมป์เอฟเอยูธคัพ[17] และพรีเมียร์ลีก รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ได้สำเร็จ[18][19] (ปัจจุบันเปลี่ยนระบบเป็น รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี แล้ว)
ฤดูกาล 2014–15
[แก้]ลอฟตัส-ชีก ลงเล่นให้กับเชลซีชุดใหญ่ในเกมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือน ธันวาคม ค.ศ. 2014 ในรายการยูฟ่าแชมเปียนลีก รอบแบ่งกลุ่ม ในนัดที่เชลซี เอาชนะ สปอร์ติงลิสบอน 3–1 ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองแทนที่ของเซสก์ ฟาเบรกัส ในนาทีที่ 83[20] และได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2015 ในเกมที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ซิตี 1–1 โดยเป็นผู้เล่นสำรองลงมาแทน โอสการ์ ในช่วงทดเวลานาทีที่ 2 [21]
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โชเซ มูรีนโย ผู้จัดการทีมของเชลซีในขณะนั้น ได้เลือก ลอฟตัส-ชีก ขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่อย่างเป็นทางการพร้อมกับ อิซซัค บราวน์ โดยเขาได้สวมเสื้อหมายเลข 36[22]
ในวันที่ 13 เมษายน ลอฟตัส-ชีก ได้กลับไปลงเล่นให้กับชุดเยาวชนของเขลซี ในรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่ายูธลีก ฤดูกาล 2014–15 กับชัคตาร์โดเนตสค์ ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเชลซีเอาชนะด้วยผลคะแนน 3–2[23], ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2015 ตัวเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับเชลซีชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในนัดที่เจอกับ ลิเวอร์พูล[24] โดยเขาจ่ายบอลไม่พลาดเลยตลอดทั้งเกม 60 นาทีที่ลงเล่น และเขาได้ถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีดังกล่าวโดยมี เนมันยา มาติช ลงเล่นแทน ซึ่งเกมนี้จบลงด้วยผลเสมอ 1–1 [25][26]
ถึงแม้ว่าลอฟตัส-ชีกจะลงเล่นด้วยเวลารวมไม่ถึง 70 นาทีจากการลงเล่น 3 นัดในฤดูกาลนี้ แต่โชเซ มูรีนโย กล่าวว่าเขาจะได้รับเหรียญของผู้ชนะพรีเมียร์ลีก สำหรับผลงานของเขาในฤดูกาลนี้[5]
ฤดูกาล 2015–16
[แก้]ในวันที่ 10 มกราคม 2016 ในเกมเอฟเอคัพที่เชลซี พบกับ สคันธอร์ป ยูไนเต็ด ลอฟตัส-ชีก ได้ลงเล่นเป็นตัวสำรองลงมาแทน โอสการ์ ในช่วงพักครึ่ง และสามารถทำประตูแรกในการแข่งขันระดับอาชีพได้ในช่วงนาทีที่ 68 เป็นประตู 2–0 และผลก็จบลงด้วยคะแนนนี้ [27]
ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2016 ลอฟตัส-ชีก ได้เซ็นสัญญาเป็นเวลา 5 ปีหลังจากสร้างผลงานดีเมื่อได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่[28], ในวันที่ 2 เมษายน ลอฟตัส-ชีก สามารถทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้ในนัดที่พบกับ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก โดยเขาเป็นคนทำประตูขึ้นนำ 1–0 ซึ่งจบเกมเชลซีเอาชนะไป 4–0[29] และในอีก 2 นัดต่อมาซึ่งพบกับ สวอนซีซิตี และ แมนเชสเตอร์ซิตี (ตามลำดับ) เขาก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเช่นกัน[30] [31]
ฤดูกาล 2016–17
[แก้]ภายใต้ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง อันโตนีโอ กอนเต ในช่วงปรีซีซั่นตัวเขาถูกจัดให้ไปลงเล่นในตำแหน่งกองหน้าอยู่บ่อยครั้ง[32] โดยฤดูกาลนี้เขาได้เปลี่ยนจากหมายเลขเสื้อเดิม 36 เป็นเลข 14 แทนที่ของเบอร์ทรานด์ ตราโอเร่ ที่ย้ายออกจากทีมไปด้วยสัญญายืมตัว[33]
ในวันที่ 29 สิงหาคม 2016 ลอฟตัส-ชีก ได้ลงเล่นในเกม อีเอฟแอลคัพ รอบสอง ซึ่งเชลซีพบกับ บริสตอล โรเวอร์ส ในนาทีที่ 48 เขายังเปิดบอลให้มีชี บัตชัวยี ทำประตูที่สามเป็นประตูชัยให้เชลซีชนะไป 3–2 ได้[34] โดยเขาได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมในสแตมฟอร์ดบริดจ์ ขณะเดินออกจากสนามในช่วงการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 82 ซึ่งมีโอสการ์ ลงสนามมาแทน[35]
ถูกยืมตัวไป คริสตัล พาเลซ
[แก้]ลอฟตัส-ชีก กล่าวผ่านเว็บไซต์ต้นสังกัดใหม่[36]
ในวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 2017 ลอฟตัส-ชีก ได้บรรลุข้อตกลงในการเข้าร่วมทีม คริสตัลพาเลซ ด้วยสัญญายืมตัว[37] ภายใต้การคุมทีมของฟรังก์ เดอ บูร์ เขาได้ลงเล่นเต็มเกมในนัดแรกของฤดูกาลพรีเมียร์ลีกกับ ฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก ซึ่งทีมของเขาแพ้ไป 3–0[38], ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2017 ลอฟตัส-ชีค ทำประตูแรกให้กับทีมได้ในเกมเหย้ากับสโตกซิตี แต่ทีมของพวกเขาแพ้ไปด้วยคะแนน 2–1[39], ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2018 ลอฟตัส-ชีก ทำประตูให้กับคริสตัล พาเลซได้อีกครั้งในเกมที่ทีมของพวกเขาเอาชนะ เลสเตอร์ซิตี 5–0 [40]โดยเป็นประตูที่สองและประตูสุดท้ายให้กับทีม
กลับสู่เชลซี
[แก้]ฤดูกาล 2018–19
[แก้]ในฤดูกาล 2018–19 ลอฟตัส-ชีก ได้กลับสู่ทีมเชลซีหลังจากสัญญาการยืมตัวสิ้นสุดลง โดยเขาได้สวมเสื้อหมายเลข 12, ในวันที่ 25 ตุลาคม 2018 ตัวเขาทำแฮตทริก (3 ประตู) ให้กับเชลซีได้ในเกมเหย้ากับ บาเตบอรีซอฟ ในรายการยูฟ่ายูโรปาลีก ซึ่งสุดท้ายแล้วเชลซี ชนะไป 3–1[41], ในอีก 3 วันต่อมา เขาทำประตูแรกในฤดูกาลนี้ในลีกได้ในเกมที่ออกไปเยือน เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ ซึ่งเชลซีเอาชนะไป 4–0[42], ในวันที่ 5 พฤษภาคม ลอฟตัส-ชีก ทำ 1 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีกกับ วัตฟอร์ด ได้ทำให้เชลซีเอาชนะไป 3–0 และทำให้ทีมของพวกเขาได้ลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลต่อไป[43], ในนัดถัดมาในการแข่งขัน ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ พบกับ ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท เขาได้ทำประตูขึ้นนำให้เชลซีขึ้นนำก่อนที่จะโดนตีเสมอเป็น 1–1 จนต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษ และสุดท้ายทีมของพวกเขาเอาชนะไป 4–3 ในช่วงการดวลจุดโทษตัดสิน ทำให้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ[44], ในวันที่ 15 พฤษภาคม ลอฟตัส-ชีก ได้ร่วมลงเล่นเกมการกุศลกับ นิวอิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น ที่สหรัฐ ในเกมนี้เขามีอาการบาดเจ็บอย่างหนัก จนอาจต้องเข้ารักษาตัวนานถึง 1 ปีเต็ม และทำให้ไม่สามารถลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่ายูโรปาลีกได้[45]
ฤดูกาล 2019–20
[แก้]ในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ลอฟตัส-ชีก ได้ทำการต่อสัญญาฉบับใหม่กับเชลซี ออกไปอีก 5 ปีจนถึง ค.ศ. 2024[46][47], ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลอฟตัส-ชีก ได้กลับมาสู่สนามแข่งขันอีกครั้งในฐานะตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีกกับ บอร์นมัท[48]รวมถึงในเกมถัดมากับลิเวอร์พูล ในวันที่ 4 มีนาคม ในรายการเอฟเอคัพ[49] แต่ก็ยังมิได้ถูกส่งลงสนาม ก่อนที่ฟุตบอลลีกอังกฤษได้ถูกระงับชั่วคราวหลังจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา[50] เป็นเวลา 3 เดือน หลังจากนั้น ลอฟตัส-ชีก ได้กลับมาลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งในวันที่ 21 มิถุนายน ในเกมนัดแรกหลังจากการหยุดแข่งขันในเกมกับ แอสตันวิลลา ซึ่งทีมของพวกเขาเอาชนะไป 1–2[51]
ถูกยืมตัวไป ฟูลัม
[แก้]ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ลอฟตัส-ชีก ได้ย้ายเข้าร่วมทีม ฟูลัม ด้วยสัญญายืมตัวตลอดฤดูกาล 2020–21[52]
ระดับทีมชาติ
[แก้]ลอฟตัส-ชีก ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ในปี ค.ศ. 2011 และลงเล่นต่อไปในระดับ รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี , อายุไม่เกิน 19 ปี หลังจากทำผลงานได้ดีในรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ใน ค.ศ. 2015 เขาได้รับโอกาสลงเล่นในรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี [53] เพื่อแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ สาธารณรัฐเช็ก[54] ซึ่งทีมชาติอังกฤษตกรอบแรกของการแแข่งขัน โดยที่ตัวเขาได้รับโอกาสลงเล่นในฐานะตัวสำรองใน 2 เกม[55] [56]
ในปี ค.ศ. 2016 ลอฟตัส-ชีค เข้าร่วมการแข่งขันตูลงทัวร์นาเมนต์ กับทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี และเขายังทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส เป็นประตูขึ้นนำ 2–0 ก่อนจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษด้วยผล 2–1 และยังได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน[57] ซึ่งเขากลายเป็นนักเตะคนแรกของอังกฤษที่ได้รับรางวัลดังกล่าวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 ที่แอลัน เชียเรอร์ ได้รางวัลนี้[58]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 เขาได้รับเลือกให้เข้าร่วมทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกโดย ลอฟตัส-ชีค ได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกในนัดที่พบกับเยอรมนี ในวันที่ 10 พฤศจิกายนที่เวมบลีย์ ซึ่งเขาได้ลงเล่นครบ 90 นาทีและยังได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันอีกด้วย ซึ่งผลจบลงด้วยผลเสมอ 0–0 [7]
ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2018 แกเร็ท เซาท์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ ได้เรียกลอฟตัส-ชีค ให้เป็นหนึ่งใน 23 คนเพื่อแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย [8]โดยเขาได้ลงเล่นในนัดแรกของการแข่งขันในวันที่ 18 มิถุนายน 2018 กับ ทีมชาติตูนิเซีย หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงแทนที่ เดเล อัลลี ในนาทีที่ 80 ซึ่งทีมของพวกเขาเอาชนะไปได้ 2–1 [59] และได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในอีก 2 นัดถัดมา ในรอบแบ่งกลุ่ม และได้ลงเล่นอีก 1 นัดในนัดชิงที่สาม กับ เบลเยี่ยม ที่เซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ซึ่งทีมชาติของพวกเขาได้พ่ายแพ้ไป 2–0 ทำให้ทีมชาติอังกฤษ จบการแข่งขันที่ลำดับที่ 4[9]
รูปแบบการเล่น
[แก้]หลังจากตัวเขาสามารถก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ บาร์นีย์ โรเนย์ ผู้สื่อข่าวแห่ง เดอะการ์เดียน ได้กล่าวถึงลอฟตัส-ชีก ว่า "นี่คือผู้เล่นที่น่าสนใจ" ยังกล่าวอีกว่า "การป้องกันของเขา และการเป็นกองกลางแนวลึกของเขานั้น สามารถครอบครองบอลได้อย่างเนียนนิ่งและสามารถเข้าสกัดบอลได้อย่างเป็นธรรมชาติ" และเขาเหมาะสมกับการเล่นชุดใหญ๋ให้กับทีมชาติอังกฤษ[60], ลอฟตัส-ชีก ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ มิชชาเอล บัลลัค อดีตกองกลางของทีมชาติเยอรมนี จากการกล่าวของเกล็น ฮอดเดิล อดีตกองกลางของเชลซีและทีมชาติอังกฤษ โดยเขากล่าวว่า "ร่างกายและวิธีการเล่นของเขาทำให้ฉันนึกถึงบัลลัค เขาเข้าไปในพื้นที่ของเขาแล้วเขาก็เคลื่อนที่ลูกบอลได้ดี"[61], หลังจากพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 เปิดฤดูกาล โชเซ มูรีนโย ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสของเขลซีในขณะนั้น ได้กล่าวถึงเขาว่า "เขานั้นยอดเยี่ยมกับการเล่นบอล เขาไม่ได้ดูเหมือนอายุ 19 - เขาดูแข็งแรงมั่นคงและเป็นผู้ใหญ่", เลียม ทูมีย์ ผู้สื่อข่าวของ โฟร์โฟร์ทู ได้กล่าวว่า "เขาไม่ค่อยตัดสินใจได้ไม่ดีเมื่อเขาครอบครองบอล และเขาเป็น "การผสมผสานที่หายากของร่างกายตามธรรมชาติและทักษะที่สละสลวย" ซึ่งเขาได้เปรียบว่าเหมือนอย่างกับปอล ป็อกบา[62]
ตลอดการค้าแข้ง ลอฟตัส-ชีกได้ลงเล่นในตำแหน่ง กองกลางตัวกลาง หรือ กองกลางตัวรุก อยู่เป็นประจำ แต่อันโตนีโอ กอนเต อดีตผู้จัดการทีมเชลซี ได้เคยให้โอกาสตัวเขาลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า โดยกอนเต กล่าวว่า "เขามีเทคนิคที่ดีและเขาสามารถดวลกับผู้เล่นฝั่งตรงข้ามแบบ 1 ต่อ 1 ได้อย่างยอดเยี่ยม"[63]
สถิติ
[แก้]สโมสร
[แก้]- ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | เอฟเอคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชัน | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
เชลซี | 2014–15[64] | พรีเมียร์ลีก | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1[a] | 0 | — | 4 | 0 | |
2015–16[65] | พรีเมียร์ลีก | 13 | 1 | 2 | 1 | 1 | 0 | 1[a] | 0 | 0 | 0 | 17 | 2 | |
2016–17[66] | พรีเมียร์ลีก | 6 | 0 | 3 | 0 | 2 | 0 | — | — | 11 | 0 | |||
2018–19[67] | พรีเมียร์ลีก | 24 | 6 | 2 | 0 | 3 | 0 | 11[b] | 4 | 0 | 0 | 40 | 10 | |
2019–20[68] | พรีเมียร์ลีก | 7 | 0 | 2 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | — | 9 | 0 | ||
2020–21[69] | พรีเมียร์ลีก | 1 | 0 | — | 0 | 0 | 0 | 0 | — | 1 | 0 | |||
2021–22[70] | พรีเมียร์ลีก | 24 | 0 | 5 | 1 | 3 | 0 | 8[a] | 0 | 0 | 0 | 40 | 1 | |
2022–23[71] | พรีเมียร์ลีก | 13 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 5[a] | 0 | — | 19 | 0 | ||
รวม | 91 | 7 | 14 | 2 | 10 | 0 | 26 | 4 | 0 | 0 | 141 | 13 | ||
คริสตัลพาเลซ (ยืมตัว) | 2017–18[72] | พรีเมียร์ลีก | 24 | 2 | 0 | 0 | 1 | 0 | — | — | 25 | 2 | ||
ฟูลัม (ยืมตัว) | 2020–21[69] | พรีเมียร์ลีก | 30 | 1 | 2 | 0 | — | — | — | 32 | 1 | |||
รวมอาชีพ | 145 | 10 | 16 | 2 | 11 | 0 | 26 | 4 | 0 | 0 | 198 | 16 |
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ↑ ลงเล่นในยูฟ่ายูโรปาลีก
ทีมชาติ | ปี | ลงเล่น | ประตู |
---|---|---|---|
อังกฤษ | 2017 | 2 | 0 |
2018 | 8 | 0 | |
รวม | 10 | 0 |
เกียรติประวัติ
[แก้]เชลซี (ชุดเยาวชน)
- เอฟเอยูธคัพ: 2011–12[15], 2013–14[17]
- พรีเมียร์ลีกเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี: 2013–14[18]
- ยูฟ่ายูธลีก: 2014–15[23]
เชลซี
- พรีเมียร์ลีก: 2014–15[5], 2016–17[6]
- ยูฟ่ายูโรปาลีก: 2018–19[4]
- อีเอฟแอลคัพ รองชนะเลิศ: 2018–19[74]
อังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี
รางวัลส่วนบุคคล
- ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันตูลงทัวร์นาเมนต์: 2016[58]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "FIFA World Cup Russia 2018: List of players: England" (PDF). FIFA. 15 July 2018. p. 10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 June 2018. สืบค้นเมื่อ 4 October 2018.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek". 11v11.com. AFS Enterprises. สืบค้นเมื่อ 16 December 2017.
- ↑ "R. Loftus-Cheek: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 22 September 2018.
- ↑ 4.0 4.1 Bevan, Chris (29 May 2019). "Chelsea 4–1 Arsenal". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 15 July 2019.
"2018/19 EUROPA LEAGUE WINNERS!!! 🏆😃 #UELfinal #CFC #Chelsea". Chelsea F.C. 29 May 2019. สืบค้นเมื่อ 15 July 2019 – โดยทาง Instagram. - ↑ 5.0 5.1 5.2 "Every Chelsea player to get a Premier League medal says Jose Mourinho". ESPN FC.
- ↑ 6.0 6.1 "Ruben Loftus-Cheek: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 16 December 2017.
- ↑ 7.0 7.1 McNulty, Phil (10 November 2017). "England 0–0 Germany". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 11 November 2017.
- ↑ 8.0 8.1 "England World Cup squad: Trent Alexander-Arnold in 23-man squad". BBC Sport. 16 May 2018. สืบค้นเมื่อ 17 May 2018.
- ↑ 9.0 9.1 "World Cup 2018:England finish fourth after Belgium defeat". Standard. 14 July 2018. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ Fifield, Dominic (30 January 2018). "Loftus-Cheek returns to Chelsea for injury treatment amid World Cup fears". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 18 November 2018.
- ↑ "FIFA World Cup 2018: The children of immigrants who want to bring World Cup glory to England". Marca. Madrid.
- ↑ "FIFA World Cup 2018: The children of immigrants who want to bring World Cup glory to England - MARCA in English".
- ↑ Hayes, Garry. "Ruben Loftus-Cheek Talks International Champions Cup, Chelsea Hopes and More".
- ↑ "Preview: Eversley & California, Joe Loftus-Cheek and all the step 6 openers". Football in Bracknell. 3 August 2018. สืบค้นเมื่อ 4 October 2018.
- ↑ 15.0 15.1 Benson, Ryan (9 May 2012). "Blackburn 1–0 Chelsea (Agg 1–4): Visitors win FA Youth Cup despite Payne-inspired defeat in second leg". Goal.com. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek Profile". Chelsea F.C.
- ↑ 17.0 17.1 Reid, Jamie (6 May 2014). "Chelsea seal Youth Cup glory after thriller at the Bridge". The Football Association. สืบค้นเมื่อ 16 December 2017.
- ↑ 18.0 18.1 "#12 Ruben Loftus-Cheek". Transfermarkt. สืบค้นเมื่อ 27 April 2020.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek Profile". Chelsea Fc. สืบค้นเมื่อ 8 May 2020.
- ↑ Williams, Adam (10 December 2014). "Chelsea 3–1 Sporting Lisbon". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ McNulty, Phil (31 January 2015). "Chelsea 1–1 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ "More Academy graduates in first team squad". Chelsea F.C. 3 February 2015. สืบค้นเมื่อ 3 February 2015.
- ↑ 23.0 23.1 "Brown inspires Chelsea to Youth League glory". UEFA. 13 April 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 November 2017.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek gets first Chelsea start against Liverpool". ESPN FC. 10 May 2015. สืบค้นเมื่อ 10 May 2015.
- ↑ Higginson, Marc (10 May 2015). "Chelsea 1–1 Liverpool". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek: Analysis of the Chelsea midfielder's full debut".
- ↑ Emons, Michael (10 January 2016). "Chelsea 2–0 Scunthorpe United". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ "New deal for Loftus-Cheek". Chelsea F.C. 29 February 2016.
- ↑ Henson, Mike (2 April 2016). "Aston Villa 0–4 Chelsea". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2 April 2016.
- ↑ "Swansea 1–0 Chelse".
- ↑ "Chelsea 0–3 Man City".
- ↑ "Conte: Good schooling". Chelsea F.C. 20 July 2016.
- ↑ "Squad list announced". Chelsea F.C. สืบค้นเมื่อ 20 April 2020.
- ↑ "Chelsea 3–2 Bristol Rovers". BBC Sport. 23 August 2016. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek impressing as a striker for Antonio Conte's Chelsea". Sky Sports. 24 August 2016.
- ↑ "OFFICIAL: พาเลซยืม"ลอฟตัส-ชีค"จากสิงห์ 1 ปี". goal.com (Thailand).
- ↑ "Loftus-Cheek signs for Crystal Palace". Crystal Palace F.C. 12 July 2017. สืบค้นเมื่อ 12 July 2017.
- ↑ "Loftus-Cheek signs for Crystal Palace". Crystal Palace F.C. 12 July 2017. สืบค้นเมื่อ 12 July 2017.
- ↑ "Crystal Palace 2–1 Stoke City". BBC Sport. 25 November 2017. สืบค้นเมื่อ 17 July 2018.
- ↑ "Crystal Palace 5–0 Leicester City". BBC Sport. 28 April 2018. สืบค้นเมื่อ 26 April 2020.
- ↑ "Chelsea 3–1 Bate Borisov". 25 October 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk.
- ↑ "Burnley 0–4 Chelsea". 28 October 2018 – โดยทาง www.bbc.co.uk.
- ↑ "Chelsea move into third place with victory over wasteful Watford". The Guardian. 6 May 2019.
- ↑ "Kepa stars in shootout drama as Chelsea reach EuropaLeague final". FOX Sports (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 10 May 2019.
- ↑ Fifield, Dominic (16 May 2019). "Chelsea's Ruben Loftus-Cheek set to miss Europa League final with injury". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 16 May 2019.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek signs new long-term Chelsea contract | Official Site | Chelsea Football Club". ChelseaFC.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek signs new Chelsea deal until 2024". BBC Sport. 6 July 2019.
- ↑ "MATCH REPORT: BOURNEMOUTH 2 CHELSEA 2". Chelsea. 29 February 2020.
- ↑ "MATCH REPORT: CHELSEA 4 EVERTON 0". Chelsea Fc. 4 March 2020.
- ↑ "Premier League fixtures: Every postponed EPL game and remaining match following coronavirus pandemic". Standard.
- ↑ AVL 1-2 CHE Premierleague.com 21 June 2020 สืบค้นเมื่อ 20 July 2020
- ↑ OFFICIAL : เชลซีปล่อย ลอฟตัส-ชีค ซบฟูแลมสัญญายืม[ลิงก์เสีย] goal.com 6 ตุลาคม ค.ศ. 2020 สืบค้นเมื่อ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2020
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek". The Football Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-16. สืบค้นเมื่อ 11 November 2017.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek". Independent. 20 May 2015. สืบค้นเมื่อ 25 April 2020.
- ↑ "England 0-1 Portugal". UEFA. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ "2015 EURO UNDER-21 CHAMPIONSHIP Sweden U21 1-0 England U21". BBC. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ "England beat France to win Toulon Tournament for first time in 22 years". The Guardian. London. Press Association. 29 May 2016. สืบค้นเมื่อ 16 December 2017.
- ↑ 58.0 58.1 58.2 Maston, Tom (29 May 2016). "Chelsea's Loftus-Cheek named Player of the Toulon Tournament". Goal.com. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ Taylor, Daniel (19 June 2018). "Kane double ensures England defeat Tunisia in World Cup opener". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 June 2018.
- ↑ Ronay, Barney (10 December 2014). "Chelsea's Ruben Loftus-Cheek gives glimpse of future against Sporting". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 11 December 2014.
- ↑ Bairner, Robin (2 April 2016). "He reminds me of Ballack' – Hoddle on Loftus-Cheek". Goal.com. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 22 May 2018.
- ↑ Twomey, Liam (1 December 2015). "Mourinho risks making Ruben Loftus-Cheek Chelsea's Paul Pogba". FourFourTwo. สืบค้นเมื่อ 4 March 2020.
- ↑ "Conte Schooling". Chelsea Fc. 20 July 2016.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2014/2015". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 18 October 2017.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2015/2016". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 16 December 2017.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2016/2017". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 18 October 2017.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2018/2019". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 15 July 2019.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2019/2020". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 12 April 2022.
- ↑ 69.0 69.1 "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2020/2021". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 19 December 2021.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2021/2022". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 12 April 2022.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2022/2023". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 6 August 2022.
- ↑ "Games played by รูเบน ลอฟตัส-ชีก in 2017/2018". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 2 December 2018.
- ↑ "Ruben Loftus-Cheek". National Football Teams. Benjamin Strack-Zimmermann. สืบค้นเมื่อ 12 April 2022.
- ↑ McNulty, Phil (24 February 2019). "Chelsea 0–0 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 22 April 2019.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Profile ที่เว็บไซต์สโมสรฟุตบอลเชลซี
- Profile ที่เว็บไซต์สมาคมฟุตบอลอังกฤษ
- รูเบน ลอฟตัส-ชีก – สถิติการลงแข่งจากสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (UEFA) (อังกฤษ)
- บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2539
- นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
- นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ
- ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีก
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลเชลซี
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลคริสตัลพาเลซ
- ผู้เล่นสโมสรฟุตบอลฟูลัม
- ผู้เล่นในเซเรียอา
- ผู้เล่นเอซี มิลาน
- กองกลางฟุตบอล
- ผู้เล่นในฟุตบอลโลก 2018
- ผู้เล่นในชุดชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- นักกีฬาจากลอนดอน
- บุคคลจากลอนดอนโบโรลูวิชัม
- ชาวอังกฤษเชื้อสายกายอานา